ความเป็นมาของทัศนศิลป์
ความเป็นมาของคำว่า “ทัศนศิลป์” เกิดจากแนวความคิดของศิลปิน เบาเฮาส์
ใน เยอรมนี ซึ่งก็ตังสถาบัน “เบาเฮาส์” นี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1919
และก่อตั้งได้ไม่นานก็แยกย้ายไปในประเทศต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งย้ายไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกามากที่สุด
และได้ตั้งสถาบันศิลปะแห่งใหม่ขึ้นมาที่นครชิคาโก ชื่อ Institute of Design โดย โมโฮลี นาจ
(Mr.Moholy Nagy) และพยายามทบทวนจุดยืนทางศิลปะขึ้นใหม่ตามแนวทางทางศิลปะมีลักษณะทางวิทยาศาสตร์มายิ่งขึ้นเมื้อผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันนี้มากขึ้นจึงได้คิดค้นคำใหม่ที่เหมาะสมรัดกุมจึงได้ใช้คำว่า
Visual Art แต่ความเข้าใจและความหมายของคำตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจึงสงผลต่อการรับรู้ถึงความหมายและขอบข่ายของ
Visual Art ดังนั้นจึงได้มีการทบทวนใหม่ โดยสถาบัน “เบาเฮาส์” ในเยอรมนี
ซึ่งได้ร่วมขอบค่ายของศิลปะ 3 สาขาคือ สถาปัตยกรรม จิตกรรม และ ประติมากรรม
เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็น Visual Art ซึ่งในภาษาไทยเรียกว่า ทัศนศิลป์
หมายถึง ผลงานมนุษย์สร้างขึ้นให้เห็นรูปทรง 2 มิติและ 3 มิติ
มีเนื้อที่ปริมาตรและเนื้อที่ บริเวณว่างตามปริมาตร ของการรับรู้ที่มีลักษณะเป็น 2
มิติและ 3 มิติ และที่สำคัญต้องสามารถมองเห็นได้นั่นเอง
รูปที่ 2.1 งานทัศนศิลป์ |
ประเภทของทัศนศิลป์
ประเภทของงานศิลป์
โดยการจำแนกตามรูปแบบ
ทัศนศิลป์ประเภท 2 มิติ
ผลงานทัศนศิลป์ที่ปรากฏบนพื้นระนาบ ทั้งที่ขรุขระและเรียบทั้งนี้ปรากฏในลักษณะที่เป็นเส้น
สี แสงเงาหรือลักษณะพื้นผิวใดๆที่ปรากฎบนพื้นระนาบ สร้างมิติสร้างรองรับเป็น 2
มิติ ส่วน 3 มิติ คือด้านลึกหรือหนาเป็นมิติลวงเกิดขึ้นโดยความรู้สึกของผู้ดู เช่น
ภาพวาด ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพถ่าย ฯลฯ
ทัศนศิลป์ประเภท 3 มิติ คือลักษณะจริงของมิติทั้ง
3 ประการ มีความกว้าง มีความยาว มีความลึก มีความเป็นจริงของสภาวะของมัน
จึงแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ ประติมากรรม สถาปัตยกรรมและศิลปะสื่อผสม
ทัศนศิลป์ประเภทอื่นๆ
คือผลงานทัศนศิลป์ที่ไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้อย่างชัดเจน
เนื่องด้วยทัศนศิลป์กลุ่มนี้ได้ผสมผสานรูปแบบและวิธีแสดงออกทางศิลป์ที่มีความแปลกใหม่
อาทิเช่น ศิลปะการจัดวาง (Installation Art), มโนทัศนศิลป์ (Conceptual Art) ศิลปะสื่อแสดง (Performance Art) , แฮปแพน นิ่งอาร์ต (Happenings Art)
รูปที่ 2.2 ประเภทของทัศนศิลป์ |
ลักษณะรูปแบบทัศนศิลป์ (Visual Art Sty)
รูปแบบที่แสดงความเป็นจริง(Realisc Form) คือรูปแบบที่ศิลป์ถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ
ตามสภาวะจริงความเป็นจริงของสิ่งนั้น
รูปแบบที่แสดงเนื้อความเป็นจริง (Surrealistic Form) คือรูปแบบที่ศิลปินได้ถ่ายทอดเรื่องราวหรือปรากฎการณ์ต่างๆ
โดยไม่ยึดถือกฎเกณฑ์หรือความถูกต้องตามความเป็นจริงจากสภาวะสิ่งนั้น ๆ
รูปแบบปราศจากเนื้อหา (Non Figurative) คือ ลักษณะรูปแบบของงานศิลป์ ประกอบไปด้วย 3 ส่วนสำคัญ คือ รูปแบบ
เนื้อหาและวิธี ทัศนศิลป์รูปแบบนี้มีวัฒนาการตั้งแต่ปี ค.ศ.1910 โดย วาสิลี
แคนดินสกี ศิลปินชาวรัสเซีย
ผู้มาสร้างสรรค์ผลงานในเยอรมนีได้สร้างสรรค์ผลงานของตนขึ้น
โดยสลัดเนื้อหาของผลงานทิ้งไปจนหมดสิ้น กล่าวคือ ไม่มีเนื้อหาใด ๆ
ในผลงานเลยและเรียกผลงายของตนว่า Adstract Art
กลวิธีทัศนศิลป์ (Visual Art Technique) หมายถึง
กระบวนการสร้างงานทัศนศิลป์ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ส่วนประกอบ คือ วัสดุ อุปกรณ์
และวิธีการ
โครสร้างงานทัศนศิลป์
เป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญอย่างหนึ่ง สิ่งต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม
แต่ละสิ่งล้วนประกอบจากส่วนประกอบย่อย ๆ
ซึ่งจะต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่มเกิดจากการประกอบกันของมนุษย์ในการสร้างสรรค์เป็นผลงาน
แต่องค์ประกอบทั้ง 2 ลักษณะต่างมีความสัมพันธ์กันทางธรรมชาติ เช่น
องค์ประกอบของมนุษย์จะเป็นอวัยวะเป็นส่วนต่างๆ ได้แก่ ศีรษะ ลำตัว แขนขา ฯลฯ
ส่วนคอนกรีตประกอบไปด้วย ซีเมนต์ ทราย กรวด และน้ำที่ผสมกันตามอัตราส่วน
ซึ่งเป็นการประกอบกันของมนุษย์
เนื่องจากมนุษย์ได้รับความงามจากธรรมชาติไม่เพียงพอ
หรือมนุษย์อยากจะเอาชนะธรรมชาติ หรืออยากกลอกเลียนแบบความงามของธรรมชาติ
มนุษย์จึงได้คิดสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาใหม่ โดยเอาสิ่งต่างๆ ที่ อยู่ในธรรมชาติ
เช่น สี แสง เงา พื้นผิว ฯลฯ
มาประกอบกันแล้วจัดรูปแบบเสียใหม่ให้เป็นไปตามที่มนุษย์ต้องการ เพื่อสนองความต้องการของตนเองและ
เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สิ่งที่มนุษย์นำมาจากธรรมชาติแล้วจัดทำใหม่นี้เอง
คือองค์ประกอบศิลป์และเมื่อประกอบเสร็จสมบรูณ์ มีความกลมกลืนสวยงาม
และอาจนำไปใช้สอยให้เกิดประโยชน์ อันนี้เรียกว่างานศิลปะ
สำหรับการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์
มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความรู้สึกของมนุษย์ ในด้านความงามและเรื่องราว
ซึ่งความหมายและเรื่องราวที่จะนำมาสร้างสื่อของความหมายทางทัศนศิลป์เพื่อสร้างอยู่รอบตัวศิลปิน
สิ่งที่พบและเห็นที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวัน
เป็นวัตถุดิบที่นำมารวบรวมเป็นความคิดและจิตนาการ ถ่ายทอดสร้างสรรค์
ออกมาเป็นผลงานทัศนศิลป์โดยทัศนศิลป์มีองค์ประกอบของสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ด้วยตาในลักษณะการมองเห็นได้แก่
การรับรู้ทางการมองเห็น มิติ แขนงจิตกรรม สถาปัตยกรรม
ทัศนศิลป์แบ่งตามประเภท
- การวาดเส้น
- จิตกรรม บางครั้งจะแบ่งตามขบวนการทางทัศนศิลป์ เช่น Renaissance, Impressionism, Post-impressionism , Modern Art
- การทำภาพพิมพ์ เช่น Old master print , Woodblock painting
- การถ่ายภาพ และการสร้างภาพยนตร์
- ศิลปะคอมพิวเตอร์
- ศิลปะทรงรูป (Plastic Arts) เช่นประติมากรรม
ความหมายของทัศนธาตุ
ทัศนธาตุ
ทัศนธาตุ หมายถึง
ส่วนสำคัญที่รวมกันเป็นรูปร่างของสิ่งทั้งหลายตามที่มองเห็น ได้แก่ จุด เส้น สี
แสงเงา สี น้ำหนัก บริเวณว่าง และลักษณะพื้นผิวทัศนธาตุ
เป็นส่วนประกอบสำคัญได้แก่ศิลปะที่สามารถนำมาจัดให้ประสารกลมกลืน
เกิดเป็นผลงานศิลปะที่มีคุณค่าทางความงาม และ
สื่อถึงความหมายตามความคิดของผู้สร้างสรรค์ได้
ทัศนธาตุเกิดขึ้นจากการนำเอาธาตุใดธาตุหนึ่งมาสร้างเป็นรูปร่างของบริเวณว่างขึ้นเมื่อใช้สีระบายลงบนรูปทรงทัศนธาตุจะปรากฎขึ้นทั้งเส้นสี
และลักษณะผิว ฉะนั้น การรู้จักสังเกตธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ตัวและการรู้จักเลือกสร้างสรรค์งานศิลปะทัศนธาตุ
ประกอบด้วย
- จุด (Dot)
- สี (Color)
- รูปร่างและรูปทรง (Shape and Form)
- น้ำหนัก (Value)
- บริเวณว่าง (Space)
- ลักษณะผิว (Texture)
1. จุด (Dot)
จุด หมายถึง
รอยหรือแต้มที่มีลักษณะกลมๆ ปรากฏที่ผิวพื้น ไม่มีขนาด ความกว้าง ความยาว ความหนา
เป็นสิ่งที่เล็กที่สุดและเป็นธาตุเริ่มแรกที่ทำให้เกิดธาตุอื่นๆขึ้น
ภาพที่ 2.3 ภาพจุด |
2. เส้น (Line)
เส้น คือจุดหลายๆจุดต่อกันเป็นสาย
เป็นแนวแถวไปทางทิศใดทิศหนึ่งเป็นทางยาวหรือจุดที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งด้วยแรงผลักดันหรือรอยขูดเขียนของวัตถุเป็นรอยยาวเส้นแบ่งเป็นลอยขูดเขียนของเป็นวัตถุยาวๆ
เส้นแบ่งมี 2 ลักษณะใหญ่ๆ ดั้งนี้
1. เส้นตรง
รูปที่ 2.4 ภาพลักษณะเส้นดิ่ง |
ภาพที่ 2.5 ภาพลักษณะเส้นนอนราบ |
1.3 เส้นเฉียง คือ
เส้นที่ไม่ตั้งฉากกับระดับให้ความรู้สึกไม่มั่นคง
ภาพที่ 2.6 ภาพลักษณะเส้นเฉียง |
1.4 เส้นฟันปลา
คือเส้นตรงหลายเส้นต่อกันสลับขึ้นลงระยะเท่ากัน ให้ความรู้สึก รุนแรง กระแทก
ตื่นเต้น อันตราย ขัดแย้ง
ภาพที่ 2.7 ภาพลักษณะเส้นฟันปลา |
1.5 เส้นประ คือ
เส้นที่ขาดเป็นช่วงๆมีระยะเท่ากัน ให้ความรู้สึกต่อเนื่อง
ภาพที่ 2.8 ภาพลักษณะเส้นประ |
2. เส้นโค้ง
2.1 เส้นโค้ง
เป็นเส้นที่เป็นท้องกระทะคล้ายเชือกหย่อนให้ความรู้สึกอ่อนโยน
ภาพที่ 2.9 ภาพลักษณะเส้นโค้งลง |
2.2 เส้นโค้งขึ้น
คือเส้นที่โค้งเป็นหลังเต่าให้ความรู้สึกแข็งแก่รง
ภาพที่ 2.10 ภาพลักษณะเส้นโค้งขึ้น |
3. เส้นคด
คือ เส้นโค้งขึ้นโค้งลงต่อเนื้องคล้ายคลื่นทะเลให้ความรู้สึกเลื่อนไหล ต่อเนื่อง
อ่อนช้อย นุ่มนวล
ภาพที่ 2.11 ภาพลักษณะเส้นคด |
4. เส้นก้นห้อย คือ เส้นโค้งต่อเนื่อง
ก้นวนเขาลึกเล็กลงเป็นจุดคล้ายก้นห้อย ให้ความรู้สึก อึดอัด เคลื่อนไหวคลี่คลาย
ภาพที่ 2.12 ภาพลักษณะเส้นก้นหอย |
5. เส้นโค้งอิสระ
คือเส้นโค้งต่อเนื่องกันไปไม่มีทิศทาง คล้ายเชือกพันกัน ให้ความรู้สึกวุ่นวาย
ยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ
ภาพที่ 4.13 ภาพลักษณะเส้นโค้งอิสระ |
3. สี (Colour)
สีหมายถึง
ลักษณะของแสงสว่างปรากฏแก่ตาให้เห็นเป็นสีขาว ดำ แดง เขียว น้ำเงิน เหลือง เป็นต้น
1. สีที่เป็นวัตถุ (Pigment) สีที่เป็นรงค์วัตถุสีผงหรือธาตุในร่างกายทำให้คนมาสีต่างๆ
สีที่เกิดจากวัตถุธาตุจาก พืช สัตว์ แร่ธาตุเป็นตน ซึ่งเป็นสีที่ใช้ในงานศิลปะ
ภาพที่ 2.14 สีที่เป็นวัตถุ |
2. สีที่เป็นแสง ( Spectrum ) สีที่เกิดจากการหักเหของแสง เช่น
สีรุ้ง สีจากแท่งแก้วปริซึม
ภาพที่ 2.15 สีที่เป็นแสง |
แม่สี Primary Colour
แม่สี คือ สีที่นำมาผสมกันแล้วทำให้เกิดสีใหม่ ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากสีเดิม แมีสี มีอยู่ 2 ชนิดคือ
1. แม่สีของแสง
เกิดจากการหักเหของแสงผ่านแท่งแก้ว มี 3 สีคือ สีแดง สีเหลือง สีนำเงิน
อยู่ในรูปแสงรังสี ซึ่งเป็นพลังงานชนิดเดียวที่มีสี
คุณสมบัติของแสงสามารถนำมาใช้ในการถ่ายภาพโทรทัศน์ การจัดแสงสีในการแสดงต่างๆ
เป็นต้น
2. แม่สีวัตถุธาตุ
เป็นสีได้มาจากธรรมชาติและการสังเคราะห์โดยกระบวนการทางเคมี มี 3 สี คือ สีแดง
สีเหลือง สีนำเงิน แม่สีวัตถุธาตุเป็นแม่สีที่นำมาใช้งานกันอย่างกว้างขวาง
ในวงการศิลปะ วงการอุตสาหกรรม ฯลฯ
แม่สีวัตถุธาตุ
เมื่อนำมาผสมกันตามหลักเกณฑ์ จะทำให้เกิดวงจรสีซึ่งเป็นวงสีธรรมชาติ
เกิดจากการผสมกันของแม่สีวัตถุธาตุ เป็นสีหลักที่ใช้งานกันทั่วไปในวงสี
วงจรสีธรรมชาติ
วงจรสี
เกิดจากการนำเอาแม่สีมาผสมกันเป็น 3 ขั้น มี 12 สี คือ เหลือง เหลืองเขียว เขียว
เขียวน้ำเงิน น้ำเงิน น้ำเงินม่วง ม่วง ม่วงแดง แดง แดงส้ม ส้ม เหลืองส้ม
หรือเรียกว่าวงล้อของสี
1.
สีขั้นที่ 1 คือสีที่ไม่มีสีใดสามารถผสมให้ได้สีนั้นได้แก่ สีแดง สีเหลือง
สีน้ำเงิน
ภาพที่ 2.16 สีขั้นที่ 1 |
2. สีขั้นที่ 2 (Secondary Colours)
สีขั้นที่ 2 เกิดจาการนำเอาแม่สีที่เป็นวัตถุทั้ง 3 สี
มาผสมกันเกิดสีใหม่ขึ้นมาอีก 3 สี ได้แก่ สีส้ม สีเขียว สีม่วง
ภาพที่ 2.17 สีขั้นที่ 2 |
3. สีขั้นที่ 3 (Tertiory Colours)
เกิดจากการนำเอาสีขั้นที่ 1 กับ 2 มาผสมกัน ทีละคู่ที่อยู่ติดกัน
จะได้สีเพิ่มขึ้นอีก 6 สี
ภาพที่ 2.18 สีขั้นที่ 3 |
สีแดง = ตื่นเต้น เร้าใจ อันตราย
พลัง อำนาจ รัก
สีส้ม = ตื่นตัว ตื่นเต้น เร้าใจ
สนุกสนาน
สีเหลือง = สดใส ร่าเริง ฉลาด
เปรี้ยว
สีเขียวอ่อน = สดชื่น ร่าเริง
เบิกบาน
สีเขียวแก่ = สะอาด ปลอดภัย สดชื่น
ธรรมชาติ ชรา
สีน้ำเงิน = สุภาพ เชื่อมั่น
หนักแน่น ถ่อมตัว ผู้ชาย
สีฟ้า = ราบรื่น สว่าง วัยรุ่น
ทันสมัย
สีม่วง = ฟุ่มเฟือย ลึกลับ ขี้เหงา
สีชมพู = ความรัก ผู้หญิง อ่อนหวาน
นุ่มนวล หอม
สีขาว = ความบริสุทธิ์ สะอาด ปลอดภัย
เด็กทารก
สีดำ = ทุกข์ ลึกลับ สืบสวน หนักแน่น
สีเทา = สุภาพ ขรึม
สีน้ำตาล = อนุรักษ์ โบราณ ธรรมชาติ
สีม่วง = ร่ำรวย โอ่อ่า งอกงาม
น้ำหนักสี ( Tone ) หรือวรรณะของสี หมายถึง
ระดับความเข้มที่แตกต่างกันของสีหรือค่าความอ่อนแก่ของสี ไล่ระดับกันไป เช่น ดำ – เทาเข้ม – เทากลาง – เทาอ่อน – ขาว โทนก็มีผลต่อความรู้สึกคล้ายกับสีนั่นเอง
เพียงแต่จะละเอียดอ่อนมากขึ้น มีค่าความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่มีผลต่อความรู้สึก
นึกคิด ของมนุษย์ เช่น
ภาพที่ 2.19 น้ำหนักของสี |
1. วรรณะสีร้อน ( Warm Tone ) ประกอบด้วยสีเหลือง
สีส้มเหลือง สีส้ม สีส้มแดง สีม่วงแดง และสีม่วง สีในวรรณะร้อนนี้จะเป็นสีที่ค่อนข้างไปทางสีแดงหรือสีส้มถ้าสีใดสีหนึ่งค่อนข้างไปทางสีแดงหรือสีส้ม
เช่นสีน้ำตาล สีเทาอมแดง ก็ให้ถือว่าเป็นสีวรรณะร้อน ให้ความรู้สึกร้อนแรง
รูปที่ 2.20 สีวรรณะร้อน |
2. วรรณะสีเย็น ( Cold Tone ) ประกอบด้วย สีเหลือง สีเขียวเหลือง สีเขียว สีเขียวน้ำเงิน
สี น้ำเงิน สีม่วงน้ำเงิน และสีม่วง
ส่วนสีอื่นๆ ถ้าหนักไปทางสีน้ำเงินและสีเขียวก็เป็นสีวรรณะเย็น ดังเช่น สีเทา สีดำ
สีเขียวแก่ เหล่านี้เป็นต้น ให้ความรู้สึกเย็นสบาย
รูปที่ 2.21 สีวรรณะเย็น |
4. รูปร่างและรูปทรง (Shape and Form)
รูปร่าง (Shape) หมายถึง การล้อมรอบ หรือการบรรจบกัน ของเส้น บนพื้นที่ว่าง
มีรูปลักษณะ แบนราบเป็น 2 มิติ
รูปที่ 2.22 แสดงรูปร่าง |
รูปทรง (Form) จะมีความสัมพันธ์ กันอย่างใกล้ชิดกับรูปร่าง แต่รูปทรง มีความแตกต่าง
อย่างเห็น ได้ชัดเจนที่สุดก็คือ รูปทรงมีลักษณะเป็น 3 มิติ
รูปที่ 2.23 แสดงรูปทรง |
5. น้ำหนัก (Value)
รูปร่าง (Shape) หมายถึง เส้นรอบนอกของ วัตถุ คน สัตว์ สิ่งของ มีลักษณะเป็น 2 มิติ (กว้าง ยาว)
รูปร่าง (Shape) หมายถึง เส้นรอบนอกของ วัตถุ คน สัตว์ สิ่งของ มีลักษณะเป็น 2 มิติ (กว้าง ยาว)
รูปที่ 2.24 แสดงค่าน้ำหนักของแสงและเงา |
แสงและเงา(Light & Shade)
แสงและเงา เป็นองค์ประกอบที่อยู่คู่กัน แสง เมื่อส่องกระทบกับวัตถุ
จะทำให้เกิดเงา
แสงและเงา เป็นตัวกำหนดระดับของค่าน้ำหนัก
ความเข้มของเงาจะขึ้นอยู่กับความเข้มของแสง ในที่ที่มีแสงสว่างมาก
แสงและเงา เป็นองค์ประกอบที่อยู่คู่กัน แสง เมื่อส่องกระทบกับวัตถุ
จะทำให้เกิดเงา
แสงและเงา เป็นตัวกำหนดระดับของค่าน้ำหนัก
ความเข้มของเงาจะขึ้นอยู่กับความเข้มของแสง ในที่ที่มีแสงสว่างมาก
รูปที่ 2.25 แสงและเงา |
รูปที่ 2.26 อากาศที่โอบล้อมรูปทรง |
6. บริเวณว่าง (Space)
บริเวณว่าง หรือ ช่องไฟ คือ
1. อากาศที่โอบล้อมรูปทรง
บริเวณว่าง หรือ ช่องไฟ คือ
1. อากาศที่โอบล้อมรูปทรง
2. ระยะห่างระหว่างรูปทรง
รูปที่ 2.27 ระยะห่างระหว่างรูปทรง |
รูปที่ 2.28 บริเวณภายในรูปทรง |
4.
บริเวณว่างของภาพเขียนหรือภาพที่มองดูเป็นช่องลึกเข้าไปในภาพ เรียกว่า
บริเวณว่างลวงตา
รูปที่ 2.29 บริเวณว่างสายตา |
7. ลักษณะผิว (Texture)
ลักษณะผิว หมายถึง ลักษณะภายนอกของวัตถุที่มองเห็นและสัมผัสพื้นผิวได้
แสดงความรู้สึกหยาบ ละเอียด ขรุขระ มัน ด้านเป็นเส้น เป็นจุด จับดูแล้วสะดุดมือ
หรือสัมผัสได้จากความรู้สึกผิวเป็นทัศนธาตุที่นำมาประกอบในการสร้างงานศิลปะ
ลักษณะผิวที่แตกต่างกันจะทำให้เกิดความรู้สึกแตกต่างกัน
รูปที่ 2.30 พื้นผิว |
โดยสรุป ทัศนธาตุ ในทางทัศนศิลป์
หมายถึงส่วนประกอบที่มองเห็นได้ ประกอบด้วยจุด เส้น รูปร่าง รูปทรง พื้นผิว
แสง-เงา และสี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น