บทที่ 5 การจัดภาพ
ความหมายของการจัดภาพ
ความหมายของการจัดภาพ คือ
การนำเอาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ
ตัวมาประกอบกับหลักการทางจิตวิทยาในเรื่องของการรับรู้และหลักการทางศิลปะมาผสมผสานกันซึ่งในความเป็นจริงมิได้มีส่วนใดในงานศิลปะที่จัดวางผิดแปลกหรือต่างไปจากธรรมชาติเลยเพียงแต่มีการจัดวางใหม่ให้ดูดีสวยงามกว่าธรรมชาติ
การจัดภาพ คือ
การนำทัศนธาตุที่ได้ศึกษาเรียนรู้ไปแล้วมาจัดให้เกิดภาพ การจัดเป็นส่วนประกอบมูลฐานสำคัญในการสร้างสรรค์งานศิลปะทุกแขนง
การจัดภาพหรือองค์ประกอบ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Composition หมายถึง การนำเอาเอาทัศนธาตุต่าง ๆ รวมเข้าด้วยกัน
กำหนดการจัดวางตำแหน่งที่เหมาะสมหรือตามความต้องการ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ
ที่กล่าวมานี้มนุษย์ได้ทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการทางด้านจิตใจ คุณค่าของงานศิลปะแบ่งได้เป็น 2 ด้าน คือ
การจัดภาพให้มีคุณค่าในด้านความงาม ( Aesthetic
Value ) และการจัดภาพให้มีคุณค่าในด้านเรื่องราว ( Content Value )
ความงามคืออะไร ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
กล่าวไว้ในหนังสือสงเคราะห์หว่า
ความงาม คือ
ความเป็นระเบียบและมีการประสานกลมกลืน
ความงาม คือ
การกำหนดความรู้สึกจากการรับรู้และเป็นการสื่อความหมาย
ความงาม คือ สภาพที่เป็นไปตามแนวคิดที่ดีที่สุด
ความงาม คือ ลักษณะที่เป็นไปตามธรรมชาติ หรือคล้อยตามธรรมชาติ
ความงาม คือ ความดี
จากข้อความดังกล่าวในเรื่องความงามนั้น
พอสรุปได้ว่า ความงาม คือ
ภาพหรือภาวะที่มีความเหมาะสมกับกาลเทศะ
ตรงตามความต้องการและรสนิยมองคนส่วนใหญ่ในสังคมซึ่งต้องประกอบไปด้วยสิ่งต่าง
ๆ ที่เป็นพื้นฐานเบื้องต้น
องค์ประกอบศิลป์ในการจัดภาพ
องค์ประกอบศิลป์ในการจัดภาพแบ่งออกเป็นลักษณะใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
2. การจัดภาพลักษณะผ่าน ( Transition ) คือการแก้ไขภาพจากการจัดภาพลักษณะตั้งให้ลักษณะที่ดูนุ่มนวลขึ้น
รูปที่ 5.1 การจัดภาพลักษณะผ่าน |
รูปที่ 5.2 การจัดภาพลักษณะนำสายตาหรือเบี่ยงเบนสายตา |
4. การจัดภาพลักษณะการซ้ำ ( Repetition ) จะทำให้เกิดความเป็นระเบียบ
รูปที่ 5.3 การจัดภาพลักษณะการซ้ำ |
5. การจัดภาพในลักษณะทรงสามเหลี่ยม ( Triangular )
รูปที่ 5.4 การจัดภาพในลักษณะทรงสามเหลี่ยม |
6. การจัดภาพในลักษณะวงกลม ( Circular)
รูปที่ 5.5 การจัดภาพในลักษณะวงกลม |
7. การจัดภาพลักษณะกระจายเป็นรัศมี ( Radiation )
รูปที่ 5.6 การจัดภาพลักษณะกระจายเป็นรัศมี |
ในการจัดภาพเราจะแสดงถึงเอกลักษณ์
ลักษณะแบบอย่างของกลุ่มชนเฉพาะว่าเป็นองกลุ่มน้อยหรือกลุ่มใหญ่ เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น มิผู้รู้ได้จัดแยกประเภทของการจัดภาพออกเป็น 2
ประเภท คือ
1.
การจัดภาพแบบสากล คือ การแสดงเรื่องราวต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทั่วไป
เรื่องราวของวิทยาศาสตร์และธรรมชาติทำให้ผู้พบเห็นเกิดความซาบซึ้งได้ง่ายมิได้กำหนดว่าเป็นเรื่องราวของชาติใด
การใช้วัสดุที่เป็นอิสระไม่อยู่ในกฎเกณฑ์
รวมทั้งวิธีการก็เป็นการกระทำความนึกคิดของผู้วาดภาพเอง
2.
การจัดภาพแบบประจำชาติ คือ
การแสดงเรื่องที่ยังอยู่ในกรอบประเพณีกฎเกณฑ์ที่กระทำต่อเนื่องกันมา
ฃแสดงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่น ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี
มีความประณีตในตัว
หรือยังดำเนินการตามขั้นตอนของกฎเกณฑ์เดิมอยู่ถึงแม้จะใช้วิธีใหม่ก็ตาม
แต่เมื่อดูแล้วยังแสดงเอกลักษณ์ของตัวเองอยู่
การจัดภาพของงานทัศนศิลป์
การจัดภาพของงานทัศนศิลป์ ( Visual Art Composition) เป็นการนำเอาส่วนประกอบของความงามทัศนศิลป์มาจัดเข้าด้วยกัน
โดยตัดทอนหรือเพิ่มเติมให้เหมาะสมกลมกลืนเกิดเนื้อหา เรื่องราว และความงาม
แสดงถึงเอกลักษณ์เฉพาะว่าเป็นกลุ่มใด แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
- การจัดภาพแบบประจำชาติ ( National Composition)
-
การจัดภาพแบบสากล (International Composition)
เทคนิคการจัดองค์ประกอบภาพ
กฎสามส่วน ( Rule Of Third)
ทฤษฎีกฎสามส่วน ( Rule of Third) เป็นวิธีการง่าย
ๆ ที่จะทำให้ภาพออกมาดูดี
โดยหลีกเลี่ยงการว่างตำแหน่งของวัตถุหลักที่เราจะถ่ายไม่ให้อยู่ตรงจุดกึ่งกลางภาพ
ซึ่งจะทำให้ภาพนั้นแข็งทื่อ ไม่ชวนมอง ดังนั้น ตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการวางวัตถุ
ควรอยู่ในตำแหน่งที่เกิดจากจุดตัดของเส้นสี่เส้นตามทฤษฎีกฎสามส่วน
ซึ่งการจัดวางตำแหน่งหลักของภาพถ่ายเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดผลทางด้านแนวความคิดและความรู้สึกได้
การวางตำแหน่งที่เหมาะสมของจุดสนใจในภาพเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ
วิธีการก็คือ ให้ท่านสร้างเส้นสมมติ 4 เส้น เพื่อแบ่งช่องมองภาพทั้งแนวตั้ง 2 เส้น
และแนวนอน 2 เส้นเหมือนกับตีตารางเล่น O-X จุดที่เส้นทั้ง 4 ตัดกัน คือ
ตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการวางวัตถุหลักไว้ในบริเวณดังกล่าว ให้เลือกจุดที่ท่านคิดว่าเหมาะสมที่สุดจุดใดจุดหนึ่ง
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาพที่เรากำลังจะถ่ายว่ามี ฉากหน้าฉากหลัง เป็นอย่างไร
รวมทั้งเรื่องราวในภาพ (
มีกล้องหลายตัวที่มีฟังก์ชันในการสร้างเส้นสมมติดังกล่าวขึ้นมาใน view finder หรือ LCD เพื่อช่วยผู้ถ่ายในการอ้างอิงจุดตัด กฎสามส่วนเช่น Fuji S9500,S9600 เป็นต้น )
รูปที่ 5.7 กฎสามส่วน |
กฎสามส่วนกล่าวไว้ว่า ไม่ว่าภาพจะอยู่แนวตั้งหรือแนวนอนก็ตาม หากเราแบ่งภาพนั้นออกเป็นสามส่วนทั้งตามแนวตั้งและแนวนอน แล้วลากเส้นแบ่งภาพทั้งสามเส้น จะเกิดจุดตัดกันทั้งหมด 4 จัด ซึ่งจัดตัดของเส้นทั้งสี่นี้ เป็นตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการจัดวางวัตถุที่ต้องการเน้นให้เป็นจุดเด่นหลัก ส่วนรายละเอียด ๆ นั้น เป็นส่วนสำคัญที่รองลงมา
รูปที่ 5.8 จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าจุดสนใจขะอยู่บริเวณจุดตัด ทำให้ภาพดูสมบูรณ์ |
รูปที่ 5.9 หรือจะจัดในตำแหน่งที่ใหล้เคียงก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องวางอยู่บนจุดตักพอดี (ในรูปแยวตั้งก็เช่นเดียวกัน) |
นอกจากนี้เรายังสามารถใช้แนวเส้นแบ่ง 3 เส้นนี้
เป็นแนวในการจัดสัดส่วนภาพก็ได้อย่างการจัดวางเส้นขอบฟ้าให้อยู่ในแนวเส้นแบ่ง
โดยให้ส่วนพื้นดินและท้องฟ้าอยู่ในอัตราส่วน 3:1 หรือ 1:3 แต่ไม่ควรแบ่ง 1:1
รุปที่ 5.10 อย่างการจัดวางเส้นขอบฟ้าให้อยู่ในแนวเส้นแบ่ง |
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า อัตราส่วนระหว่างพื้นดินกับท้องฟ้าเป็น 1:3 นอกจากนี้ตำแหน่งจุดสนใจยังอยู่ที่บริเวณจัดตัดทำให้ภาพดูสมบูรณ์และน่าสนใจยิ่งขึ้น และเรายังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดองค์ประกอบภาพอื่น ๆ โดยใช้หลักการเดียวกัน
ความสมดุลของภาพ
การจัดองค์ประกอบภาพด้วยการจัดความสมดุลให้กับวัตถุหรือสิ่งต่าง ๆ
ในภาพโดยอาศัยการรับรู้ถึง น้ำหนัก
และตำแหน่งของวัตถุต่าง ๆ ที่อยู่ภายในภาพนั้น ๆ โดยอาศัยหลักการ
คานดีด คานงัด โดยมีตำแหน่งกึ่งกลางภาพเป็นจุดศูนย์กลางของตัวคานน้ำหนัก
รูปที่ 5.11 ความสมดุลของภาพ |
โดยให้ท่านจินตนาการดูว่าคานอันหนึ่งวางพาดอยู่กลางภาพ โดยมีจุดหมุนอยู่กึ่งกลางของตัวคาน
วางวัตถุลงบนตัวคานทั้ง 2 ด้าน หลักการคือ การพยายามจัดองค์ประกอบ (วัตถุ) ลงในภาพโดยให้มีความรู้สึกถึงความสมดุลของคานทั้ง
2 ฝั่ง
การรับรู้น้ำหนักของวัตถุจากคนดู ขณะดูภาพ
รูปที่ 5.12 การรับรู้น้ำหนักของวัตถุจากคนดูขณะดูภาพ |
วัตถุขนาดใหญ่จะมีน้ำหนักในภาพมากกว่าวัตถุที่มีขนาดเล็ก
แต่ถ้าวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าหากว่างในจุดที่อยู่ห่างออกไปจากจุดกึ่งกลางของคานในตำแหน่งที่เหมาะสมก็ดูมีพลังและน้ำหนักได้มากยิ่งขึ้นกว่าปกติเพื่อนำถ่วงดุลกับวัตถุที่ที่มีขนาดใหญ่กว่าอยู่ด้านหนึ่งของคานได้
การรับรู้ถึงน้ำหนักมาก
1) วัตถุมีขนาดใหญ่
2) วัตถุมีสีเข้ม
3) ตำแหน่งของวัตถุอยู่ห่างจากจุดกึ่งกลางภาพ
การรับรู้ถึงน้ำหนักน้อย
1) วัตถุมีขนาดเล็ก ( หรือเป็นที่ว่างในภาพ
)
2) วัตถุมีสีอ่อน
3) อยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางของภาพ
รูปที่ 5.13 การรับรู้น้ำหนักของวัตถุ |
ดังนั้นในการจัดองค์ประกอบของภาพนั้น
นอกจากจะต้องคำนึงถึงกฎสามส่วนแล้วควรจะนึกภาพตาช่างเสมือนไว้ในใจเสมอ โดยพยายามวางวัตถุต่าง ๆ เพื่อให้มีการถ่วงดุลไม่จำเป็นต้องเอาวัตถุใหญ่
ๆ 2 อันมาวางไว้ทั้ง 2 ด้านของคานเพื่อให้น้ำหนักหรือสมดุลของภาพเท่ากัน
แต่เป็นเรื่องของความเหมาะเจาะพอดีของ (ขนาดวัตถุ / สีสัน / โทนความเข้มอ่อนของวัตถุ)
ก็ได้
องค์ประกอบการออกแบบ ( Elements)
1. องค์ประกอบในความคิด (Conceptual Elements)
องค์ประกอบในความนึกคิดไม่สามารถมองเห็นได้ ไม่มีตัวตน
แต่ดูเหมือนจะคงอยู่โดยทั่วไป เช่น เรารู้สึกว่ามีจุดอยู่ตรงมุมของรูปร่าง
มีเส้นอยู่บริเวณรูปร่างของวัตถุมีระนาบหุ้มห่อปริมาตร และปริมาตรครอบคลุมพื้นที่ว่าง แต่ว่าความจริงแล้ว
องค์ประกอบเหล่านั้นไม่ได้อยู่ที่บริเวณดังกล่าวอย่างแท้จริง เราเรียกลักษณะขององค์ประกอบทั้งหมดนี้ว่า “องค์ประกอบในความนึกคิด “
2. องค์ประกอบที่มองเห็นได้ (Visual Elements)
องค์ประกอบที่มองเห็นได้ ( Visual Elements ) จะเป็นตัวแทนขององค์ประกอบในความนึกคิด
( Conceptual Elements ) โดยเมื่อเราเขียนจุด
เส้น ระนาบ หรือปริมาตรลงบนกระดาษ เราจะไม่เพียงแต่มองเห็นความกว่างยาวเท่านั้น แต่จะเห็นถึงสีและพื้นผิว ซึ่งขึ้นอยู่กับวัสดุที่เราใช้และวิธีใช้ เมื่อองค์ประกอบในความนึกคิดเปลี่ยนเป็นมองเห็นได้จะแสดงให้เห็นถึงรูปร่าง ขนาด
สี ผิวสัมผัส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ
3. องค์ประกอบที่สัมพันธ์ (Relational Elements)
องค์ประกอบตั้งแต่หนึ่งองค์ประกอบขึ้นไป
จำเป็นจะต้องควบคุมการจัดวางโดยคำนึงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบนี้ทิศทางและตำแหน่งการจัดวางสามารถรับรู้ได้
บางประเภทต้องอาศัยความรู้สึกจากการวิเคราะห์โดยเฉพาะเรื่องของที่ว่างและแรงดึงดูด
4. องค์ประกอบที่นำมาใช้ประโยชน์ (Practical Elements)
4.1 งานที่เหมือนจริง (Representation) เมื่อรูปร่างในงานศิลปะได้ถ่ายทอดมาจากธรรมชาติหรือโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น
เราจะเรียกงานนั้นว่างานที่เหมือนจริง (Representation)
ซึ่งอาจจะดูเหมือนจริงจนใกล้จะเป็นงานนามธรรม
4.2 ความหมาย (Meaning) ความหมายของงานศิลปะแต่ละชั้นจะแสดงออกเพื่อสื่อสารสามารถแนวความคิดในการออกแบบ
4.3 ประโยชน์ใช้สอย (Function) ประโยชน์ใช้สอยในการออกแบบจะแสดงออกเมื่องานออกแบบนั้นสนองความต้องการทางด้านการใช้สอยของมนุษย์
รูปแบบของทัศนศิลป์สากล
ทัศนศิลป์สากลเกิดจากการจัดภาพแบบสากลที่ได้ผสมผสานรูปแบบต่าง ๆ
เข้าด้วยกันผ่านการทดลองปรับปรุง
ดัดแปลง
เลือกสรรจนวิวัฒนาการรูปแบบเป็นที่นิยมทั่วทุกชาติโดยแบ่งรูปแบบออกตามลักษณะของงานที่สร้างสรรค์ได้ 3 รูปแบบ คือ
● รูปแบบรูปธรรม (Realistic) ศิลปะแบบเหมือนจริงเป็นศิลปะที่ไม่ซับซ้อนมีเนื้อหาสาระที่ปรากฏเด่นชัดแต่ผู้สร้างและผู้ชมต้องมีความรู้เรื่องนั้นด้วย
เช่น ภาพคน ภาพสัตว์
● รูปแบบกึ่งนามธรรม ( Semi Abstract) เป็นการถ่ายทอดที่ผิดเบนไปจากรูปธรรมหรือแบบเหมือนจริงด้วยการตัดทอดรูปทรงจากของจริงให้เรียบง่ายแต่ยังมีเค้าโครงเดิมอยู่สามารถดูรู้ว่าเป็นภาพอะไร
● รูปแบบนามธรรม ( Abstract Art) เป็นศิลปะประเภทที่ไม่มีความจริงเหลืออยู่
เพราะถูกตัดทอดให้เหลือแค่เส้น สี น้ำหนัก ที่ก่อให้เกิดความงาม
ตามอารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งที่เหนือความเป็นจริงต้องใช้จินตนาการในการรับรู้รับชม
รูปที่ 5.14 ทัศนศิลป์ |
คุณค่าของงานทัศนศิลป์
ทัศนศิลป์เป็นศิลปะที่รับรู้ได้ด้วยสายตาการรับรู้ทางการมองเห็นในแขนงจิตรกรรมประติมากรรมและสถาปัตยกรรม
ทำให้เกิดแรงกระตุ้นและตอบสนองทางด้านจิตใจพร้อมกันนั้นจิตใจของมนุษย์ก็เป็นตัวแปรค่าและกำหนดความงาม ความประณีต
เรื่องราวและประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์
การรับรู้คุณค่าของสิ่งเหล่านี้
รับรู้ได้ด้วยอารมณ์
ความรู้สึกของแต่ละบุคคล
ความงามและเรื่องราวจะเกิดมีคุณค่าก็เพราะการรับรู้ทางการมองเห็นเกิดความรู้สึกประทับใจ มีความอิ่มเอิบในในคุณค่านั้น ๆ
สำหรับงานทัศนศิลป์ไม่ว่ารูปแบบใดย่อมมีคุณค่าในตัวของผลงานเอง ผลงานทัศนศิลป์สามารถแบ่งการรับรู้คุณค่าได้ 14
คุณค่า คือ
1. คุณค่าทางความงาม (Aesthetic Value)
2. คุณค่าทางเรื่องราว ( Content Value )
3. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
4. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อในสิ่งเร้นลับ ศรัทธา
5. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา วัฒนธรรม
ประเพณี
6. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง
เช่น
การสร้างประติมากรรมอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญ ๆ เพื่อเป็นอนุสรณ์แสดงว่าบุคคลผู้นั้นเป็นผู้มีความสามารถในการเมืองการปกครอง
7. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ
เป็นการถ่ายทอดเกี่ยวกับการเผชิญในสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำอยู่ในแต่ละวัน เพราะการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์ในสังคมต้องการความสุขโดยอาศัยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความสุขในแต่ละวัน ได้แก่
จิตใจ อารมณ์และทางด้านสังคม
ดังนั้นเรื่องราวที่นำเสนอเพื่อให้เกิดคุณค่า เช่น
เรื่องราวของที่อยู่อาศัย อาคาร ยารักษาโรค
การพักผ่อนหย่องใจ
ความปลอดภัย ความก้าวหน้าทางการศึกษา และอาชีพ
เป็นต้น
8. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
9. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับวรรณคดี นิทานพื้นบ้าน
สำนวน คำพังเพย สุภาษิต
10.
คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
11.
คุณค่าของงานทัศนศิลป์ต่อชีวิตและสังคม
12. คุณค่าในการยกระดับจิตใจ
13. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
งานประติมากรรม เป็นศิลปะที่สื่อความงานและความรู้สึกไปสู่ผู้ดูหรือผู้ชื่นชมได้ด้วยรูปทรง และพื้นผิว โดยมีแสงสว่างมากระทบให้เกิดเงาจากมิติความตื้นลึกของรูปทรงนั้น ๆ งานสถาปัตยกรรมเป็นศิลปะที่ใช้ประโยชน์ใช้สอยมากกว่า เพราะเป็นอาคารสถานที่สูงและเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์นั่นเอง โดยเริ่มจากดูแลรักษาที่พักอาศัยต่าง ๆ เช่น กระราชวัง โบสต์ ตำหนัก วัด วิหาร เจดีย์ สถูป เป็นต้น
14. คุณค่าของผู้ชื่นชมและสังคมส่วนรวม
ผลงานทัศนศิลป์ของศิลปินไทยและต่างประเทศ
ศิลปินด้านจิตรกรรม
1. อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี
ผลงานของถวัลย์ ดัชนี
เป็นที่ยอมรับและยกย่องทั้งในและต่างประเทศ การสร้างสรรค์ผลงานเกิดจากการนำแนวปรัชญาพุทธศิลป์มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ศิลปะไทยร่วมสมัยที่ทรงพลัง ลุ่มลึก
และแกร่งกร้าว
มีเนื้อหาสาระและท่วงทีที่มีชีวิตวิญญาณของความเป็นไทย
รวมถึงผสมผสานระหว่างแนวปรัชญาตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ในผลงาน
2. รองศาสตราจารย์ปริญญา ตันติสุข
ปริญญา ตันติสุข
สร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยการนำเสนอและเข้าร่วมแสดงในนิทรรศการศิลปะสำคัญ ๆ
ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอตลอดมา
ทั้งการจัดนิทรรศการเดี่ยวและนิทรรศการกลุ่ม
ผลงานปริญญาแสดงถึงการเริ่มต้นด้วยความคิดและรูปแบบที่เกี่ยวโยงกับรูปธรรม และเปลี่ยนแปรห่างออกไปด้วยจินตนาการและศิลปินโดยมีการประสานสัมพันธ์ของสีเป็นวิธีสำคัญจนกลายเป็นงานแบบนามธรรมไปในที่สุด
ศิลปินด้านจิตรกรรมและสื่อผสม
1. อาจารย์ธงชัย รักประทุม
ธงชัย
รักประทุม
เป็นศิลปินที่มีความเชี่ยวชาญด้านศิลปะทั้งไทยและสากลด้วยเพราะเคยได้รับทุนไปศึกษาต่อด้านศิลปะร่วมสมัยที่ประเทศอิตาลี
ธงชัยได้สร้างผลงานด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่อยู่บนเส้นทางเดินของการสร้างศิลปะร่วมสมัยมาต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผลงานมีลักษณะเฉพาะตัวและโดดเด่น
มีเนื้อหาสาระและแนวคิดที่ก้าวลึกไปสู่วิถีชีวิตในเชิงวัฒนธรรมของสังคมยุคใหม่
เกร็ดความรู้
ศิลปะแบบสื่อผสม ( Mixed Media ) เป็นวิจิตรศิลป์
ในการนำสื่อมากกว่าสองสื่อขึ้นไปมาสร้างเป็นผลงานต่าง ๆ
โดยนิยมใช้สื่อที่แตกต่างกันมานำจุดเด่นใช้ร่วมกัน ได้แก่งานจิตรกรรม ประติมากรรม
ภาพพิมพ์ และงานวาดเส้น ศิลปะสื่อผสมอาจมีลักษณะเป็น 2 มิติ หรือ 3
มิติก็ได้ ศิลปะสื่อผสมนอกจากจะเป็นศิลปะสมัยใหม่แล้วยังเป็นงานสะท้อนให้เห็นสังคมในรูปแบบต่าง
ๆ ด้วย
เพราะปัจจุบันการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ไม่ได้อยู่แค่บนกระดาษหรือผ้าใบ
แต่เป็นการพัฒนาการสร้างผลงานผสมกันทั้งการวาดเขียน การระบายสีกาพิมพ์ เป็นต้น ผสมผสานกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น
วิดีโอ คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสื่อใหม่ ๆ
ที่มีการพัฒนาตลอดเวลาและมีความทันสมัยในปัจจุบัน
2. ศาสตราจารย์กมล ทัศนาญชลี
กมล
ทัศนาญชลี
เป็นศิลปินที่ได้รับการยกย่องทั้งในและต่างประเทศ ผลงานของกมลมีเอกลักษณ์ตามแนวทางสากลที่มีพื้นฐานจากศิลปะแบบประเพณี วิถีชีวิตไทย
มีการใช้สื่อผสมในการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมทั้งรูปแบบ 2 มิติ 3 มิติ
อาศัยเทคนิควัสดุสมัยใหม่สะท้อนการเชื่อมโยงเรื่องราววัฒนธรรมระหว่างตะวันตกและตะวันออก
ทำให้ผลงานมีความร่วมสมัย
3. ศาสตราจารย์เดชา วราชุน
ผลงานในช่วงแรก ๆ ของเดชา วราชุน
เป็นผลงานภาพพิมพ์โดยใช้ประสบการณ์จากการรวบรวมข้อมูลของรูปทรงที่สนใจทั้งจากรูปทรงเรขาคณิต และเริ่มทำงานสื่อวัสดุปะปิดด้วยการใช้มวลธาตุทางทัศนศิลป์เป็นมูลเหตุสำคัญในการสร้างผลงาน
เดชาพัฒนาภาพผลงานอย่างต่อเนื่องตามลำดับจนได้รับเกียรติเป็นศิลปินชั้นเยี่ยมประเภทภาพพิมพ์ในปี
2525 เดชาเปลี่ยนแปลงการสร้างผลงานให้จริงจังขึ้นเมื่อปี 2539
เพื่อต้องการสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของสังคมปัจจุบันที่ดำรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมของความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ศิลปินด้านประติมากรรม
1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์เขียน ยิ้มศิริ
เขียน
ยิ้มศิริ
เป็นบรมครูด้านการสร้างสรรค์งานประติมากรรมด้านวิชากรศิลปะคนสำคัญของไทย
เป็นศิลปินผู้บุกเบิกในการนำเอาคุณค่าลักษณะแนวไทยมาเป็นรูปแบบในการสร้างสรรค์ผลงาน
โดยจะเห็นได้ถึงพัฒนาการจากประติมากรรมแนวไทยประเพณีคลี่คลายมาสู่ประติมากรมแบบร่วมสมัยที่แฝงความเป็นไทยอยู่ เนื้อหาของการแสดงออกเป็นอิริยาบถต่าง ๆ
ที่อ่อนซ้อยละเมียดละไมให้ความรู้สึกถึงความงามของเส้นที่เคลื่อนไหวประสานสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์ จนได้รับเกียรติเป็นศิลปินชั้นเยี่ยมเมื่อปี
2496
2. ศาสตราจารย์ชะลูด นิ่มเสมอ
ชะลูด
นิ่มเสมอ
ได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะหลายด้าน
ผลงานยุคแรก ๆ เป็นผลงานด้านจิตรกรรมที่แสดงวิถีชีวิตของชนบทที่แสดงถึงความสัมพันธ์ ความเอื้ออาทรที่มีในสังคม
ระยะต่อมาชะลูดได้สร้างสรรค์ผลงานด้านประติมากรรมซึ่งมีรูปแบบหลายหลาย
เช่นการนำวัสดุท้องถิ่นมาประกอบในผลงานเพื่อแสดงความผูกพันที่มีต่อชนบท ผลงานที่มีชื่อเสียงส่วนมากจะเป็นประติมากรรมติดตั้งภายนอกอาคาร เช่น
ผลงาน โลกุตระ
ที่หน้าอาคารศูนย์หารประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
3. อาจารย์นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน
นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน
เป็นศิลปินที่สร้างสรรค์งานศิลปะมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 37 ปี และเป็นประติมากรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทย ผลงานที่โดดเด่นเป็นรูปทรง 3 มิติ
มีความสำคัญของเส้นและปริมาตรอันกลมกลืนงดงาม โดยนำเสนอผ่านความรู้สึก อารมณ์
และความปรารถนา
เพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงความเป็นจริงของธรรมชาติ
ต่อมาในภายหลังได้สร้างสรรค์ผลงานที่มีเนื้อหาแฝงปรัชญาทางพระพุทธศาสนาผลงานของนนทิวรรธน์ได้รับรางวัลจากการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติหลายครั้ง
รวมทั้งให้สร้างประติมากรรมกับสิ่งแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นผู้เผยแพร่ความรู้และสร้างคุณประโยชน์ทางด้านศิลปะแก่สังคมและวงการศึกษาศิลปะของไทยมาโดยตลอด
ศิลปินด้านการพิมพ์
1. ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์คำ
ประหยัด พงษ์คำ
เป็นศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานที่มีแนวทางเฉพาะ คือ
การถ่ายทอดชีวิตสัตว์ในบรรยากาศแบบไทย ๆ
โดยเด่นในเรื่องการทำงานด้านภาพพิมพ์
โดยเฉพาะแม่พิมพ์แกะไม้ซึ่งได้รับการยกย่องว่ามีความเชี่ยวชาญอย่างสูง ผลงานประหยัดสะท้อนถึงความเรียบง่ายของวิถีชนบท
โดยนำเสนอผ่านเรื่องราวและลักษณะของสัตว์ต่าง ๆ
2. อาจารย์เฉลิมศักดิ์ รัตนจันทร์
ศิลปินด้านสถาปัตยกรรม
1. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
2. อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี
ผลงานทัศนศิลป์ของศิลปินต่างประเทศที่มีชื่อเสียง
ศิลปินต่างประเทศที่มีชื่อเสียง : ศิลปินชาย
1. แอนดี วาร์ฮอล (Andy Warhol) ค.ศ. 1928 – ค.ศ. 1987
2. เดวิด ฮอคนี (David Hockney ) ค.ศ. 1937
ถึงปัจจุบัน
3. ชาร์ล ซาตชิ ( Charles
Saatchi ) ค.ศ. 1943 ถึงปัจจุบัน
4. เจฟฟ์ คูนส์ ( Jeff Koons ) ค.ศ. 1955
ถึงปัจจุบัน
5. โยชิโรโมะ นาระ (Yoshitomo Nara) ค.ศ. 1959
ถึงปัจจุบัน
ศิลปินต่างประเทศที่มีชื่อเสียง :
ศิลปินหญิง
1. จอร์เจีย โอคีฟ (Georgia O Keeffe ) ค.ศ. 1887-1986
2. ฟรีดา คาห์โล ( Frida Kahlo ) ค.ศ. 1907-
ค.ศ.1954
ฟรีดา คาห์โล เป็นจิตรกรชาวเม็กซิกัน แนวผสมแบบเหมือนจริง สัญลักษณ์นิยมและเหนือจริง ภาพเขียนของฟรีดาส่วนใหญ่เป็นรูปเหมือนของ Self Porait สะท้อนชีวิตอันชื่นชมอย่างตรงไปตรงมา
ผลงานของเธอสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับบาดแผลทางกายและทางใจของตัวเอง
แม้ว่างานของฟรีดาถูกจัดให้อยู่ในรูปแบบเหนือจริงและได้แสดงออกกับพวกลัทธิเหนือจริงของยุโรป
แต่ฟรีดาไม่นับตัวเองเป็นพวกลัทธิเหนือจริงผลงานส่วนใหญ่เกี่ยวกับสตรีส่งผลให้ฟรีดากลายเป็นแม่แบบของนักสตรีนิยมในทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษ
ที่ 20 ฟรีดาถึงแก่กรรมเมื่อ ค.ศ. 1954 ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ศิลปะต่าง ๆ
เก็บงานของเธอไว้มากมาย
3. กีกี สมิธ ( Kiki Smith ) ค.ศ. 1954 ถึงปัจจุบัน
4. ชิริน เนสแซต ( Shirin neshat ) ค.ศ. 1957
ถึงปัจจุบัน
5. มาริโกะ โมริ (Mariko Mori) ค.ศ. 1967
ถึงปัจจุบัน
ความสัมพันธ์ของทัศนศิลป์กับสังคม
ศิลปะ จำแนกตามลักษณะการรับสัมผัสของมนุษย์ได้เป็น 3
สาขา คือ
1. ทัศนศิลป์ (Visual Art) ศิลปะที่รับสัมผัสด้วยการเห็นได้แก่
จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม
2. โสตศิลป์ (Aural Art) ศิลปะที่สัมผัสด้วยการฟัง ได้แก่
ดนตรีและวรรณกรรม (ผ่านการอ่านหรือร้อง)
3. โสตทัศนศิลป์ (Audio Visual Art) ศิลปะที่รับสัมผัสด้วยการฟังและการเห็นพร้อมกัน
ได้แก่ การแสดงภาพยนตร์
ศิลปะทั้ง 3
สาขามีความเกี่ยวข้องและดำเนินควบคู่ไปกับสังคม เช่น ลวดลายของเสื้อผ้า
(ทัศนศิลป์) การฟังเพลง (โสตศิลป์) การดูละครโทรทัศน์ (โสตทัศนศิลป์)
จะเห็นได้ว่ากิจกรรมในชีวิตประจำวันจะมีศิลปะเข้ามาร่วมด้วยเสมอ
ผลงานทัศนศิลป์ อิทธิผลของสังคมและผลตอบรับ
ผลงานทัศนศิลป์ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาไม่ว่าจากศิลปินคนใด
เมื่อผลงานนั้นถูกส่งไปถึงสายตาของคนในสังคมแล้ว
สิ่งที่สะท้อนกลับมาศิลปินคือผลตอบรับของสังคมที่มีต่อผลงานว่าจะชื่นชอบและเข้าใจวัตถุประสงค์ของศิลปินมากน้อยเพียงใด
ผลงานบางชิ้นอาจเป็นที่ชื่นชมและถูกยกย่องกระทั่งกลายเป็นผลงานศิลปะทางประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้
ในทางกลับกันผลงานบางชิ้นอาจไม่เป็นที่ยอมรับและถูกต่อต้านจากสังคม เช่น
ผลงานที่ถ่ายทอดความรู้สึกทางด้านลบของศาสนาหรือการเมือง เป็นต้น
- ผลงานเป็นทัศนศิลป์เป็นกระจกสะท้อนความเป็นไปของสังคมในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เห็นได้จากผลงานศิลปะในยุคต่าง ๆ
ที่มีการถ่ายทอดเรื่องราว ความเชื่อ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น เช่น
สะท้อนความรุนแรงของสงคราว
ปัญหาสังคม เหตุการณ์ทางการเมือง วิถีชีวิตผู้คน
ซึ่งศิลปินได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น ผ่านทางผลงานศิลปะของตน
- ผลงานทัศนศิลป์ส่วนหนึ่งซึ่งนอกเหนือจากการสะท้อนภาพให้เห็นความเป็นไปในสังคมหรือสิ่งที่ศิลปินพลเห็นแล้ว
ยังมีส่วนช่วยสร้างความจรรโลงใจให้กับผู้คนในสังคมช่วยให้มีจิตใจที่ละเอียดอ่อน เช่น
ผลงานศิลปะที่ถ่ายทอดความงามของธรรมชาติ
ประเพณี
- ผลงานทัศนศิลป์เป็นเครื่องมือที่ช่วยชักจูงความคิด
ความเชื่อของคนในสังคมให้เห็นคล้อยตามความคิดของศิลปิน เช่น
ผลงานศิลปะที่ถ่ายทอดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการทำลายสิ่งแวดล้อมการรณรงค์ในเรื่องต่าง
ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น